Playlist เลือกดูได้... ณัฐวุฒิVSชำนิ, มิ่งขวัญ, ณัฐวุฒิ สิงห์บุรี2-06-54, ณัฐวุฒิ นนทบุรี3-06-54, เฉลิม,เชาวรินทร์,หมวดเจี๊ยบ,ณัฐวุฒิ บ่อหลา บางแค3-06-54, ดร.อภิวันท์,ณัฐวุฒิ,ยิ่งลักษณ์ ชลบุรี4-06-54, ณัฐวุฒิแถลงข่าว3-06-54, ก็ป้าเค้าแดงตัวจริง มาร์คเอ๊ย!!, สรยุทธสัมภาษณ์ หญิงเหล็กยิ่งลักษณ์9-06-54, ณัฐวุฒิ,เฉลิม,อภิวันท์,ยิ่งลักษณ์ ท่ามะกา 11 06 54, และอีกเยอะแยะ...
วาทะกรรมที่ใช้ทำลายคนดี “ซุกหุ้น” จากทักษิณ สู่ยิ่งลักษณ์
By: Nirvana เว็บ IF
ผมไม่ได้เข้ามาแสดงความเห็นนานมากทีเดียว เพื่อนที่เชียงรายได้โทรหาผม บอกว่าให้เขียนอธิบายเรื่องซุกหุ้นที่นำมากล่าวหาคุณยิ่งลักษณ์ เพื่อเผยแพร่ในเว็บ goo-online.net ผมตอบตกลง แต่ขอเวลา 2-3 วัน (ผมไม่ค่อยได้ตามข่าวเพราะปฏิบัติธรรมอยู่ที่เชียงใหม่ แถวชายแดนไทยพม่า)
ก่อนที่ผมจะกล่าวถึงเรื่องข้อกล่าวหาต่อคุณยิ่งลักษณ์ ขอกล่าวถึงเรื่องโดยสรุปก่อน
ก่อนเข้าสู่วงการเมือง ในปี 2543 นายกทักษิณได้โอน-ขายหุ้นของตนให้ลูกและญาติ ทั้งนี้ก็เพื่อให้เป็นไปตามกม.รัฐธรรมนูญปี 2540 ว่าด้วยเรื่องการถือหุ้น เมื่อโอนขายหุ้นแล้วท่านจึงได้เข้าสู่วงการเมือง (พรรคไทยรักไทย) เมื่อปี 2544
ต่อมาในปี 2549 (เดือนมกราคม) ครอบครัวของนายทักษิณได้ขายหุ้นชินคอร์ปฯไปทั้งหมด
เหตุที่ท่านนายกทักษิณได้แนะนำให้ลูกๆขายหุ้นชินคอร์ปฯทั้งหมด ก็เพื่อจะได้หมดข้อครหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน (ราคาขายหุ้นละ 49.25 บาท มูลค่าทั้งหมด 7.6 หมื่นล้านบาท)
หลังการรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 คมช.ได้ตั้ง คตส.เพื่อตรวจสอบทรัพย์สินของนายกทักษิณ ซึ่งนำไปสู่การฟ้องต่อสานฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2553 สานตัดสินว่าหุ้นบริษัทชินคอร์ปยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของนายกทักษิณ (นายกทักษิณไม่ได้มีการโอน-ขายหุ้นให้ลูกและญาติจริง)
สานได้พิพากษาให้เงินที่ได้จากการขายหุ้นจำนวน 4.6 หมื่นล้านบาทตกเป็นของแผ่นดิน โดยกล่าวหาว่านายกทักษิณเอื้อประโยชน์แก่ธุรกิจบริษัทชินคอร์ปหลายประการ จนทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้นเป็นอันมาก
(ปี 2544 ก่อนนายกทักษิณเข้าสู่การเมืองราคาหุ้นน่าจะอยู่แถว 20 บาทต่อหุ้น อันนี้ไม่ค่อยแน่ใจนะครับ เอาเป็นว่าถ้าผิดพลาดก็น่าจะนิดหน่อยเท่านั้น ราคาที่ขายในปี 2549 คือ 49 บาท)
ที่ยึดไปจำนวน 4.6 หมื่นล้าน คิดจากส่วนต่างประมาณ 29 บาท (49–20) คุณด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมด
ขอบ่นหน่อย แมร่ง...เอาสมองส่วนไหนมาคิดวะ ราคาหุ้นของบริษัทอื่นๆมันสูงขึ้นในอัตราที่สูงกว่าของบริษัทชินคอร์ปเสียอีก ของชินคอร์ปจาก 20 เป็น 49 สูงขึ้นแค่ 145% เท่านั้น
ของ ปตท.ถ้าจำไม่ผิดไม่น่าจะต่ำกว่า 500% บางบริษัทสูงขึ้นมากกว่า 1,000% ก็ยังมี (ผมเคยวิเคราะห์ไว้หลังจากการตัดสินของสาน ถ้าค้นเจอจะนำมาเสนอต่อไป)
ตอนที่ผมเขียนโต้ข้อกล่าวหาของ คตส. ผมคาดการณ์ล่วงหน้าเหมือนกันว่า สานคงจะตัดสินยึดทรัพย์นายกทักษิณ
จะยึดทรัพย์ได้ก็ต่อเมื่อหุ้นเป็นของทักษิณ สานก็เลยต้องวินิจฉัยว่า นายกทักษิณไม่ได้โอนขายหุ้นให้ลูกและญาติจริง (ถ้าไม่วินิจฉัยแบบนี้ ไม่สามารถจะยึดทรัพย์จากลูกและญาติของนายกทักษิณได้)
คุณยิ่งลักษณ์ไปเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร?
ในปี 2543 ก่อนที่นายกทักษิณเข้าสู่การเมือง ได้ขายหุ้นให้กับคุณยิ่งลักษณ์ 2 ล้านหุ้น
ตอนนั้นราคาตามมูลค่าที่ตราไว้ (Par Value) เท่ากับ 10 บาท ต่อมาได้มีการแตกหุ้น จาก 1 หุ้นเป็น 10 หุ้น (Par Value = 1 บาท)
เพราะฉะนั้นจำนวนหุ้น (หลังจากแตกหุ้น) ของคุณยิ่งลักษณ์ที่ซื้อจากนายกทักษิณก็คือ 20 ล้านหุ้น ซึ่งถูกกล่าวหาว่าคุณยิ่งลักษณ์ไม่ได้ซื้อจากนายกทักษิณจริง ซึ่งเป็นคำวินิจฉัยของสาน
ต่อมาเมื่อคุณยิ่งลักษณ์ขายหุ้นชินคอร์ปเมื่อปี 2549 ก็เลยถูกกล่าวหาอีกกระทงหนึ่งว่าร่วมมือกับนายกทักษิณแสดงเท็จว่าตนเอง (คุณยิ่งลักษณ์) เป็นคนขายหุ้น 20 ล้านหุ้น
อะไรที่ทำให้สานวินิจฉัยว่าลูกและญาติของนายกทักษิณไม่ได้ซื้อหุ้นจากนายกทักษิณจริง (ผมจะพูดเฉพาะที่เกี่ยวกับคุณยิ่งลักษณ์เท่านั้น ส่วนการโอนขายให้ลูกผมจะไม่ขอกล่าว)
ปี 2543 นายกทักษิณได้มีการแจ้งไปที่ตลาดหลักทรัพย์ว่าขายหุ้นให้คุณยิ่งลักษณ์จำนวน 2 ล้านหุ้น (ต่อมาแตกหุ้นเป็น 20 ล้านหุ้น)
คุณยิ่งลักษณ์จ่ายค่าหุ้นให้นายกทักษิณอย่างไร?
คุณยิ่งลักษณ์ไม่ได้จ่ายค่าหุ้นทั้งหมดให้นายกทักษิณทันที แต่ใช้วิธีผ่อนชำระเป็นงวดๆ เมื่อคุณยิ่งลักษณ์ได้รับเงินปันผลจากหุ้น 20 ล้านหุ้น ก็นำเอาเงินปันผลนั้นไปจ่ายชำระ
วิธีการจ่ายชำระค่าหุ้นแบบนี้แหละครับ ที่สานวินิจฉัยว่า นายกทักษิณไม่ได้โอน-ขายหุ้นให้ลูกและญาติจริง ขอกล่าวซ้ำอีกทีว่าต้องให้คำวินิจฉัยออกมาแบบนี้ ไม่เช่นนั้นจะยึดทรัพย์ไม่ได้
มันก็เลยนำไปสู่เรื่องตลกระดับโลกก็คือ ราคาหุ้นของชินคอร์ปที่เพิ่มขึ้นเกิดจากการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวงของนายกทักษิณ ชาวต่างชาติได้ยินเรื่องนี้พากันอสุจิเคลื่อนออกมาโดยไม่รู้ตัว
ความเห็นผม ถ้าคุณยิ่งลักษณ์ไม่แสดงเงินปันผลเป็นรายได้ในการเสียภาษี ก็อาจจะพอนำเป็นเหตุผลในการวินิจฉัยเช่นนั้นได้ แต่ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เพราะคุณยิ่งลักษณ์เป็นผู้ถือหุ้น เงินปันผลจะจ่ายในชื่อคุณยิ่งลักษณ์ซึ่งจะมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย 10%
ผมเคยเขียนกระทู้ลงในหลายเว็บไซต์เรื่อง “ความผิดพลาดในคำพิพากษายึดทรัพย์” ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจน เพราะเป็นการพิสูจน์ความผิดพลาดด้วยตัวเลข ถ้าผมค้นหาเจอจะนำมาเสนอท่านต่อไป (ถ้ากระทู้ยังไม่หล่นไปเสียก่อน)
ถึงตรงจุดนี้ผมอยากให้ทุกคนอ่านเรื่องความเป็นมาของวาทะกรรม “ซุกหุ้น” (ใน post ถัดไป) ซึ่งนำมาจากไฟล์หนังสือ “โต้ข้อกล่าวหาของ คตส.ที่ใช้ในการยึดทรัพย์ทักษิณ” ความยาว 79 หน้า โดยรวบรวมจากบทความที่ผมเขียนไว้ในเว็บไซต์ newskythailand konthaiuk prachatai
ผมตั้งใจไว้เหมือนกันว่าจะนำเอาข้อเขียนที่เกี่ยวกับเรื่องยึดทรัพย์หลังจากที่มีคำพิพากษาออกมาแล้ว นำมารวมไว้เป็นไฟล์เดียวกัน แล้ววางลิงค์ให้ download ตั้งใจว่าจะให้เสร็จอย่างช้าไม่เกินกลางเดือนกรกฎาคม
เพื่อทุกคนจะได้นำไปอธิบายให้คนรอบข้างได้รับรู้ข้อเท็จจริงต่างๆ ทุกคนจะได้เลิกข้องใจเสียทีว่า ทักษิณทุจริตจริงหรือเปล่า เพราะแม้แต่ฝ่ายประชาธิปไตยบางคนยังกล่าวเลยว่า
“แม้ว่าทักษิณจะทุจริต แต่ก็รับได้เพราะทำให้ประเทศเจริญ เงินทองคล่องตัว”
เมื่อคนไทยส่วนใหญ่เข้าใจดีแล้ว อัศวินดาวเทียมของเราก็จะกลับมาไทยอย่างยิ่งใหญ่
ลิงค์ไฟล์หนังสือ “โต้ข้อกล่าวหาฯ” ช่วยนำไปเผยแพร่ด้วย...คลิกที่นี่...
ก่อนที่ท่านจะไปอ่าน “ซุกหุ้น” ผมอยากให้ท่านลองคิดปัญหานี้ก่อนครับ
นาย A และ นาย B เริ่มเข้าเป็นนักการเมือง
นาย A มีเงินสดฝากธนาคารทั้งหมด 100 ล้าน แต่แสดงในรายงานทรัพย์สินว่ามี 80 ล้าน
นาย B มีเงินสดฝากธนาคารทั้งหมด 80 ล้าน แต่แสดงในรายงานทรัพย์สินว่ามี 100 ล้าน
คำถามก็คือ ใครตั้งใจจะเข้าไปทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง นาย A? หรือ นาย B?