"ประชานิยม" กับ "รัฐสวัสดิการ" ความเหมือนที่แตกต่างกันนะฮ้า...
By: นางฟ้านะยะ
ความจริงสิ่งที่ทักษิณพยายามทำคือ "รัฐสวัสดิการ" แต่กลับไปเรียกว่า "ประชานิยม"
ส่วนสิ่งที่นายมาร์คทำนั้น จึงจะเรียกว่า "ประชานิยม" ถึงจะถูกต้อง
เพราะนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคนั้น คือการที่รัฐเอาเงินภาษีของประชาชนนั่นแหละ มาดูแลประชาชน
ส่วนนโยบายแจกเงินคนละ 2,000 บาทนั้น จึงจะเรียกว่าประชานิยม เพราะแจกจ่ายไม่ทั่วถึง อีกทั้งยังต้อง"กู้"เงินมาแจกอีกด้วย
มันจึงเป็นความเหมือนที่แตกต่าง
เพียงแต่คนที่เกลียดทักษิณนั้น พยายามจะโยงให้มันเป็นเรื่องประชานิยมให้ได้ ทั้งๆที่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ดีที่ควรจะเอาเงินภาษีมาดูแลความทุกข์สุขของประชาชน เพราะเป็นผู้เสียภาษี
ยิ่งประเทศไทยเรานั้น ใช้ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม นั่นหมายถึงว่า ทุกคนในประเทศไทยนั้น ไม่มีผู้ใดที่ไม่เสียภาษี ขึ้นอยู่กับว่าต้องจ่ายภาษีทางตรงหรือทางอ้อมเท่านั้น
ดังนั้น สิ่งที่ทักษิณบริหารเงินภาษีโดยเอามาทำเรื่อง 30 บาทรักษาทุกโรคเป็นอันดับแรกนั้น ก็คือการเอาเงินภาษีมาดูแลประชาชนนั่นเอง
เพราะถ้ารัฐบาลใดรู้จักการดูแลสวัสดิการขั้นพื้นฐานให้ประชาชนพอใจได้ ประชาชนก็จะยินดีที่จะเสียภาษี มันเป็นหลักง่ายๆเท่านั้นเอง
ดูได้จากการเริ่มต้นโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคนั้น ความจริงก็ไม่สามารถรักษาได้ครบทุกโรค สามารถรักษาได้แต่เพียงโรคที่ไม่ร้ายแรงนักเท่านั้น
เมื่อรัฐบาลจัดเก็บภาษีได้เพิ่ม จึงเพิ่มโรคที่รัฐบาลสามารถให้การดูแลรักษาอีกทีหนึ่ง เช่น ผ่าตัดหัวใจ โรคไต ฯลฯ
แต่ทว่า คนที่คิดจะโจมตี ก็จะพูดแต่ว่าเป็นการใช้เงินมาซื้อเสียงประชาชน และพยายามจะโยงให้เป็นประชานิยมให้ได้
และทุกวันนี้ รัฐบาลนายมาร์คเองนั้นทำนโยบายประชานิยมยิ่งกว่าแบบไร้วิสัยทัศน์ ไร้เป้าหมาย โดยการกู้เงินมาสนับสนุนโครงการ มันยิ่งทำให้คนบางคนมองนโยบายรัฐกลายเป็นสิ่งที่เลวร้ายไปทั้งหมด
แต่นโยบายของทักษิณนั้น คือการพยายามเอาเงินภาษีที่เก็บได้มาจัดสรรนโยบายต่างหาก มันต่างกันตรงนี้
ฉะนั้น ก่อนที่ทักษิณจะทำนโยบายอะไรออกมา จะต้องมองหาเม็ดเงินก่อนว่า จะเอาเงินจากไหนมาทำนโยบาย
ส่วนนายมาร์คนั้น ตั้งงบกู้เผื่อแบบสูงลิบถึง 800,000 ล้านบาท แล้วค่อยหานโยบายมาใช้ให้มันหมดไปเท่านั้น เงินที่จ่ายไป จึงทำแบบไร้ค่า และสร้างปัญหาตามมาด้วยทำให้ประเทศชาติมีหนี้สินเพิ่มขึ้นอย่างไร้ความจำเป็น
เพียงเพราะต้องการที่จะเลียนแบบ หวังว่าจะได้ใจจากประชาชนเหมือนอย่างที่ทักษิณเคยทำสำเร็จเอาไว้มาก่อน คิดได้เพียงเท่านี้จริงๆ
จึงมีโครงการแปลกๆ เช่น ต้นกล้าอาชีพ แจกเงินคนละ 2,000 บาท หรือการยกเลิกเก็บเงิน 30 บาท ฯลฯ
ดังนั้น ใครที่พยายามจะใช้คำว่า"ประชานิยม"มาโจมตีทักษิณ และบอกว่ามันเป็นสิ่งไม่ดีนั้น จึงเป็นการที่มองโลกในแง่ร้ายเกินไป
รัฐบาลที่ดี คือ ต้องรู้จักการเอาเงินภาษีมาดูแลความทุกข์สุขของประชาชน ซึ่งประเทศพัฒนาแล้วทุกประเทศเขาก็ทำกันแบบนี้
ส่วนรัฐบาลที่เลวนั้น คือ ไปกู้เงินเพื่อมาหว่านเพียงหวังผลว่าประชาชนจะเห็นถึงผลงาน เช่นที่รัฐบาลชุดนี้กำลังทำอยู่
ฉะนั้น สิ่งที่ทักษิณทำ คือพยายามจะเอาเงินภาษีของประชาชนมาเป็นสวัสดิการให้กับประชาชน
แต่มาร์คนั่นแหละ กำลังทำ"ประชานิยม"โดยไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะเกิดขึ้น
"รัฐสวัสดิการ"ของทักษิณมันต่างกับ"ประชานิยม"ของนายมาร์คตรงนี้แหละฮ้า
เพราะ"ดีแต่พูด" คะแนนมาร์คเลย"รูดทะราด"
By: นางฟ้านะยะ
ไม่น่าเชื่อ
เพียงแค่ 2 ปีกว่าเท่านั้น
จากนายมาร์คที่ภาพพจน์ดี มีอนาคตไกล กลับกลายเป็นคนที่ถูกประชาชนมองว่าเป็นคน"ดีแต่พูด"ไปได้
ก็เพราะประสบการณ์ด้านการเมืองเยอะ แต่ประสบการณ์ด้านการบริหารนั้นไม่มี ทั้งชีวิตมีแต่คนอุ้มชู วางแผนให้เดิน มันเลยเป็นแบบนี้
สมแล้วที่ลุงหมักที่ถือว่าเป็นคนที่มีประสบการณ์ชีวิตที่สูงมากจะตั้งฉายาให้ว่า"มะม่วงจำบ่ม"เมื่อคราวที่มาร์คลงสนามการเลือกตั้งแข่งกับพรรคพลังประชาชนที่เพิ่งจะตั้งขึ้นมา
เพราะความจริง ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น มันไม่ใช่ที่ใครๆก็สามารถจะมาเป็นได้
นอกจากจะต้องมีความสามารถในการควบคุม สส. ที่แต่ละคนนั้นขึ้นชื่อว่าเป็น เสือ สิงห์ กระทิง แรด ให้อยู่หมัดให้ได้แล้ว
ยังต้องมีความสามารถในการวางนโยบายของประเทศว่าจะเดินไปข้างหน้าอย่างไร จึงจะทำให้ประชาชนนั้นอยู่ดีกินดีได้
ตลอดเวลาที่นายมาร์คบริหารประเทศนั้น มีแต่เอาผลประโยชน์ของประเทศชาติเข้าแลกกับการที่ สส. จะยกมือโหวตให้ในสภา เห็นได้ชัดจากการที่เอารัฐมนตรีกระทรวงสำคัญไปให้กับพรรคภูมิใจไทย ซึ่งผิดวิสัยของรัฐบาลในการที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ไปข้างหน้าได้
ทั้งๆที่พรรคตัวเองมี สส. มากที่สุด รัฐมนตรีหลักในการพัฒนาและดูแลเศรษฐกิจกลับไปอยู่ในความดูแลของ สส. พรรคเล็กๆอย่างพรรคภูมิใจไทยได้ แต่มาร์คก็ยอม
มันชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลชุดที่ผ่านมานั้น ตั้งขึ้นมาได้จากการแบ่งปันผลประโยชน์ของกลุ่มตัวเองทั้งสิ้น โดยที่ประชาชนที่ไปลงคะแนนนั้น เป็นเพียงสะพานให้พวกเขาก้าวขึ้นไปสู่อำนาจและผลประโยชน์เท่านั้น
มันจึงทำให้ 2 ปีกว่าที่ผ่านมา จึงมีแต่ข่าวโกงกิน คอรัปชั่น ไม่เว้นแต่ละวัน และนายมาร์คก็ไม่กล้าที่จะจัดการอะไรได้อย่างเด็ดขาด กอร์ปกับตัวนายมาร์คเองก็ไม่มีประสบการณ์ในเชิงบริหารมาก่อน จึงตามไม่ทันกับเศรษฐกิจโลกที่มีการแข่งขันด้วยชั้นเชิง ที่ไม่ใช่ว่าทุกๆคนจะอ่านเกมขาดได้ง่ายๆ ผลงานมันจึง"รูดทะราด"อย่างเช่นทุกวันนี้
ฉะนั้น เพียงแค่ 2 ปีกว่าเท่านั้น มันจึงทำลายภาพพจน์นายมาร์คจนหมดสิ้น
และเพียง 2 ปีกว่าเท่านั้น ประชาชนจึงรับไม่ได้กับการบริหารงานที่อ่อนหัด ที่ไม่สามารถแม้แต่จะดูแลเรื่องน้ำมันปาล์มที่ประเทศไทยเป็นประเทศส่งออก ประชาชนกลับต้องไปยืนเข้าคิวซื้อกันทีละขวด หรือการออกนโยบายขายไข่ชั่งกิโล
ยิ่งคนไทยเคยผ่านช่วงที่ทักษิณได้เคยบริหารประเทศมาก่อนแล้ว จึงเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน
ผลโพลต่างๆที่บอกว่าพรรค ปชป. ตามหลังพรรค เพื่อไทย อย่างรูดทะราด เช่นทุกวันนี้
ก็เพราะประชาชนเขารู้จักการเปรียบเทียบ ชีวิตความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่ลงไปทุกวัน สินค้าราคาสูงขึ้นทุกวันโดยที่รัฐไม่สามารถทำอะไรได้เลย
รัฐบาลได้แต่ใช้สื่อที่มีอยู่ ประโคมข่าวว่าตัวเลขเศรษฐกิจดี ในขณะที่ความจริงที่ประชาชนสัมผัสได้จากชีวิตประจำวันนั้น มันต่างกันลิบลับ ประชาชนจึงไม่เชื่อถือ
การที่โพลทุกโพลสำรวจออกมาทุกครั้ง พรรคเพื่อไทยมีคะแนนนำทุกที ก็เพราะพรรค ปชป. บริหารประเทศจนประชาชนทุกคนเห็นด้วยว่าเป็นรัฐบาลที่"ดีแต่พูด"นี่แหละ
นางฟ้าไม่เชื่อในโพล เพราะผลสำรวจของโพลนั้นมันได้แต่รู้คะแนนคร่าวๆเท่านั้น ความจริงอาจจะดีหรือแย่กว่าก็เป็นได้
เพียงแต่ที่แน่นอนที่สุดก็คือ คะแนนนิยมที่อยู่ในโพลนั้น เป็นการสำรวจจากประชาชนที่ให้คำตอบด้วยความบริสุทธิ์ ไม่มีอามิสสินจ้างเหมือนกับการไปลงคะแนน
โพลอาจจะผิดเพี้ยนขึ้นได้ หากคนไปสุ่มสำรวจไม่ถูกต้องเท่านั้น เพียงแต่แปลกใจว่าทำไมทุกโพลจึงออกมาใกล้เคียงกันได้
การที่โพลทุกโพลที่ออกมา พรรค ปชป. แพ้พรรคเพื่อไทยแบบรูดทะราด ก็เพราะมาร์คบริหารประเทศแบบ"ดีแต่พูด"นี่แหละฮ้า