@ "วรเจตน์" ฝ่าศึกสหบาทา: ร้องว่าผมเนรคุณ แต่คุณยืนให้สูงเพื่อบอกว่าจงรักภักดี โดยเหยียบหัวผมขึ้นไป
@ 027 Pictures...Bangkok Underwater 26 October 2011
@ 029 ชมภาพชุด! นายกฯปูลงเรือเยี่ยมประชาชนเขตดอนเมืองที่ถูกน้ำท่วมขัง...และภาพสวยๆจากสื่อมะกัน
@ ชมภาพสวยๆทั้ง 3 ชุด บาหลี-ต้อนรับฮิลลารี-บันคีมูนที่ทำเนียบฯ
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน บรูไน, อินโดนีเซีย, กัมพูชา, ลาว, เมียนมาร์ ชุดที่1
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน เวียดนาม ชุดที่2
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน สิงคโปร์ ชุดที่3
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน อินเดีย ชุดที่4
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน ฟิลิปปินส์ ชุดที่5
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์ร่วมประชุมที่สวิสเซอร์แลนด์ ชุดที่6
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน มาเลเซีย ชุดที่7
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือน ญี่ปุ่น ชุดที่8
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์สวมชุดนักบินเหินฟ้าชมการใช้กำลังทางอากาศ
@ ภาพชุดนายกฯยิ่งลักษณ์เยี่ยมเยือนกองทัพไทย
@ ภาพชุดงานสโมสรสันนิบาต วันเฉลิมพระชนมพรรษา 5ธ.ค.2554
@ 81 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร...‘ดรัมเมเยอร์-ไทยแลนด์แบนด์’
@ เมื่อผมไปอเมริกาครั้งแรกเมื่อเดือน มกราคมปี 1972.....ผมมีเงินติดตัวไป $80.00
@ 82 ชีวิตหมอที่ไม่ได้ไปอเมริกา By: kimeng suk
@ 54... "นายกฯปู" สวมชุดนักบินเหินฟ้าชมการใช้กำลังทางอากาศ
@ 82 ต้องรู้..ต้องรู้...ภาระหน้าที่"เมษายน"ทุกๆปี นะจ๊ะ!!
@ 55... มาร์คครับ หยุดใช้วาทกรรมแก้รัฐธรรมนูญทำให้สังคมเกิดความขัดแย้งเลยครับ
@ 11 "ปู"พา"ไปป์"ไปญี่ปุ่นด้วย ให้พี่เลี้ยงพาเที่ยวแทน
@ 84 คุณชวนนท์ครับ ออกมาดูโลกภายนอกบ้างเถอะครับ
@ 12 เคยเห็นมั้ย!! แมงสาปดิ้นใน"บ้านทรายทอง"กรุงโตเกียวญี่ปุ่นโน่น...
@ 80 สังคมไทยป่วย หรือเป็นผลผลิตจากการโฆษณาชวนเชื่อมาอย่างยาวนาน
คลิกที่ภาพ...เพื่อดูขนาดที่ใหญ่ขึ้น @ โหลดเก็บไว้ในcomเชิญคลิกที่นี่...
สุดยอดไปเล้ย ก้อคุณพี่ทิศใต้นะสิคะ บอกไม่กลับบ้านก็ได้ทุกวันนี้สบายดี
By: sarapaheylo
ฝ่ายค้านโจมตีว่าแก้ รัฐธรรมนูญเพื่อนำทักษิณกลับบ้าน
ผมมีวิธีกลับบ้านโดยไม่ต้องมาแก้รัฐธรรมนูญเพื่อผมคนเดียว คนไม่ผิดกลัวอะไร วันนี้พรรค พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยก้าวข้ามพ้นผม ไม่รู้เป็นไรกลัวและแค้น มี 2 อย่าง ความจริงถ้าไม่กลัวผมจริงๆ อาจไม่แพ้ นี่กลัวผม ทำให้เกิด โลภ โกรธ หลง พุทธศาสนาบอกว่าทำให้โง่
ผมเฉยๆไม่กลับก็ไม่เป็นไร
ไม่กลับบ้านก็ไม่เป็นไร
วันนี้ผมบอกได้เลยผมเฉยๆแล้ว อยู่เมืองนอกผมก็สบาย แข็งแรงสดชื่นดี ไปไหนก็มีเครื่องบินส่วนตัว ไม่เดือดร้อน ไม่ให้ผมกลับก็ไม่เป็นไร เพียงแต่ว่าผมห่วงประเทศไปไหนก็คิดถึงประเทศ ว่าจะทำอย่างไรให้บ้านเมืองเจริญ เมื่อพวกเราเป็นรัฐบาลผมก็ส่งผ่านความคิดดีๆให้เขาได้ แค่นั้นเอง กลับก็ได้ ไม่กลับก็ได้ ในส่วนตัว ถ้าเห็นว่าผมเป็นประโยชน์ผมก็พร้อมไปทำงานให้บ้านเมืองในฐานะอะไรก็ได้ ประชาชนธรรมดาก็ได้ แต่ถ้าเห็นว่าไม่เป็นประโยชน์ ไม่เอาผมกลับก็ไม่เป็นไร ผมมีบ้านอยู่หลายประเทศ ทุกวันนี้ผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร
รัฐบาลเพื่อไทยเข้ามาก็เดินทางง่ายขึ้น มีบทบาทมากขึ้น
ผมก็ไปแต่ละประเทศก็พบผู้นำประเทศเขาอย่างอินเดีย ไปจีนเขาก็ชวนกินข้าว ส่วนใหญ่เพื่อนเก่า คนที่น่ารักที่สุด 3 ประเทศคือ ท่านสุลต่านบูรไน ท่านปูติน รัสเซีย ฮุนเซ็น กัมพูชา ไม่ว่าสยามไหนก็เหมือนเดิม วันหนึ่งนัดพบกับท่านปูตินที่บ้าน พอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ(รัสเซีย) แจ้งให้ท่านทราบว่า กษิตประท้วงมาทางการ ท่านเลยว่า อย่างนั้นเปลี่ยนนัดไปเจอกันที่ทำเนียบฯเลยก็แล้วกัน
กรี๊สสสสสส มันต้องได้อย่างนี้สิค่ะท่านท๊ากสิน.....
ใครสนใจฉบับเต็ม ตามไปอ่านได้ที่นี่ค่ะ คุณภาพคับๆๆๆจนจุกอกใครบางคนเลยหละ http://www.posttoday.com
สัญญาณปรองดองดีขึ้นทุกจุด
05 มีนาคม 2555 เวลา 09:20 น.
หมายเหตุ : เมื่อวันที่ 29 ก.พ.ที่ผ่านมา ตัวแทนกองบรรณาธิการโพสต์ทูเดย์และบางกองโพสต์ นำโดยนายพิชาย ชื่นสุขสวัสดิ์ บรรณาธิการอำนวยการโพสต์ พับลิชชิ่ง ได้เดินทางไปสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เมืองดูไบ โอกาสนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้แสดงวิสัยทัศน์หลายอย่างเกี่ยวกับการพัฒนาประเทศ โดยมีรายละเอียดที่น่าสนใจดังนี้
พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่า ถ้าให้เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาประเทศก็ต้องรับว่า การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งสำคัญที่สุด
การจัดการปัญหานี้นอกจากจะเป็นการป้องกันความเสียหายที่ต้องเกิดทุกปี มากน้อยก็แล้วแต่แล้วยังจะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ เพราะพื้นที่ๆ มีระบบชลประทาน กับพื้นที่ๆ ไม่มีชลประทานรายได้ผิดกัน 3 เท่า
จากนั้นก็เป็นการพลิกการพัฒนาประเทศด้วยการทำโครงการรถไฟความเร็วสูงและการขนส่งระบบราง ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นความเจริญของประเทศอย่างรวดเร็ว
โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงน่าจะเริ่มได้ตั้งแต่ปีนี้โดยจะเริ่มสร้างสถานีส่วนหัวท้ายที่เชียงใหม่และ กทม.ก่อน พร้อมกับการเวนคืนตลอดแนวซึ่งจะเป็นการเปิดหน้าเมืองใหม่ขึ้นหลายแห่ง พร้อมกันนั้นก็ควรขยายระบบการขนส่งของรถไฟฟ้าในกทม.ออกไปอีก
ต้องทำโครงการถมทะเลก็ขยายความแออัดของกรุงเทพฯ
ต้องแก้ไขปัญหาระบบราชการ เพราะการซื้อขายตำแหน่ง ทำให้ระบบเสีย ควบคุมยาก ต้องแก้ไขวัฒนธรรมใหม่
เรื่องที่ 2 กฎหมายบางอย่างไม่เอื้ออำนวยให้พัฒนาอย่างรวดเร็ว ก็ต้องดูว่าทำอย่างไรจะพัฒนาได้เร็วภายใต้กฎหมายที่เป็นสากล ไม่ใช่กฎหมายที่เกิดจากความระแวง
เรื่องที่ 3 คือการเมือง
ในส่วนของเรื่องการเมืองนั้นมีรายละเอียดที่น่าสวนใจหลายประการดังนี้
"พรรคเพื่อไทยถูกยุบมา 2 รอบ บุคลากรทางการเมืองก็ลดน้อยลง ถ้า 111 ออกมาก็จะมีคนมาช่วยผลักดันนโยบายต่างๆให้คล่องขึ้น ต้องยอมรับว่านายกฯ ขยัน จับประเด็นงานเก่ง แต่มือไม้ต้องฟิตด้วย ตอนนี้มือไม้ก็เริ่มฟิตขึ้นบ้างแล้ว"
หมายถึงต้องปรับ(ครม.)
ฟังนายกฯก็ไม่ปรับเร็วมั๊งเพราะว่าไปด้วยกันได้ดี อาจให้เป็นที่ปรึกษา หรือช่วยงานอย่างเปิดเผยได้บ้างเพราะไม่ผิดกฎหมายแล้ว คงไม่ได้เปลี่ยนรัฐมนตรีทั้งหมด
ไม่ใช่ 111 มาแล้วต้องเปลี่ยนหมดไม่ใช่
จะซ่อมจุดอ่อนก่อน
ใช่ครับจะต้องซ่อมจุดอ่อน
ประเมินแล้ว ครม.ชุดนี้ อ่อนสังคมหรือเศรษฐกิจ
ต้องเสริมทุกอย่างเพราะ 6 ปีมานี้ประเทศไทยอ่อนลงไปเยอะ ต้องเสริมความเข้มแข็งให้กลับมา วันนี้สำคัญคือต้องทำงานร่วมกันทั้งฝ่ายการเมืองและ ข้าราชการประจำ ต้องดูใจให้ข้าราชการประจำทำงานร่วมกันให้ได้ เพราะ ข้าราชการมีข้อมูล มีความต่อเนื่องของการแก้ปัญหา ต้องไปด้วยกัน
อ่านสัญญาณปรองดองอย่างไร?
ดีขึ้นนะ ทุกอย่างดีขึ้นหมดทุกจุด เหลืออยู่ที่เดียวพรรคประชาธิปัตย์ อย่างเรื่องโฟรซีชั่นนี่สุดๆ
ถ้าจะให้อยู่เมืองนอกต่อไปก็ปรับตัวได้แล้ว ทีแรกนักข่าวออสเตเรี่ยนถ่ายรูป ผมหุ่นดีมาก เป็นครั้งแรกที่เขาสัมภาษณ์แล้วผมตัดรูปถ่ายตัวเองเก็บไว้ เพราะหุ่นอย่างนั้นจะไม่มีอีกแล้ว ตอนนั้นก็ออกกำลังด้วย เครียดด้วย
ปีสองเริ่มเฉย ปีที่3 กลับบ้าน กลับมาก็รู้สึกนิดหน่อย 3 ปีหลังนี่เฉยๆ อยู่ตัวแล้ว
รัฐบาลเพื่อไทยเข้ามาก็เดินทางง่ายขึ้น มีบทบาทมากขึ้น
ผมก็ไปแต่ละประเทศก็พบผู้นำประเทศเขาอย่างอินเดีย ไปจีนเขาก็ชวนกินข้าว ส่วนใหญ่เพื่อนเก่า คนที่น่ารักที่สุด 3 ประเทศคือ ท่านสุลต่านบูรไน ท่านปูติน รัสเซีย ฮุนเซ็น กัมพูชา ไม่ว่าสยามไหนก็เหมือนเดิม วันหนึ่งนัดพบกับท่านปูตินที่บ้าน พอรัฐมนตรีว่ากากรระทรวงการต่างประเทศ(รัสเซีย) แจ้งให้ท่านทราบว่า กษิตประท้วงมาทางการ ท่านเลยว่า อย่างนั้นเปลี่ยนนัดไปเจอกันที่ทำเนียบฯเลยก็แล้วกัน
เรื่องปรองดองนี้เป็นปัญหาใหญ่ คนระดับโลกที่เข้ามาดูงานปรองดองในไทย ออกมาพูดกับผมว่า เหนื่อย เพราะมี selfish สูง เขากล้าพูดกับผมอย่างนั้น
เรื่องที่ผมจะไปพูดที่เกาหลี จะบอกว่า มี research ของ มหาวิทยาลัยบอสตันบอกว่า capitalismบางแห่งสำเร็จบางแห่งล้มเหลว และส่วนใหญ่ล้มเหลว มันมีองค์ประกอบหนึ่งที่เหมือนกันของประเทศที่สำเร็จคือมี nationalism ซึ่งคนไทยเข้าใจไม่ตรงกัน คนไทยส่วนหนึ่งมองว่าเป็นระดับคลั่งชาติ ซึ่งอันตรายมาก เราไม่เข้าใจว่าองค์กรใหญ่ที่เราอยู่ด้วยต้องแข็งแรงซึ่งจะทำให้เราอยู่ได้ แต่กลับบอกว่าเราต้องแข็งแรงก่อนจึงจะทำให้องค์กรอยู่ได้
วันนี้ย้อนกลับมาว่าเราขัดแย้ง แค่ไม่ตีกันเรายังทำไม่ได้ แน่นอน มันเกิดมาจากการแข่งขันทางการเมือง แล้วการเมืองเป็นเรื่องผลประโยชน์ แต่ถ้าเราเข้าใจว่า การแข่งขันแบบนักกีฬา แพ้ชนะก็ยังคุยกันได้ ไม่ใช่แพ้ชนะก็ต้องฆ่ากันไปข้างหนึ่ง แล้วกติกาก็ต้องเป็นกติกา คนรักษากติกา ต้องเป็นกลาง บ้านเมืองถึงจะไปได้ เมื่อไหร่คนรักษากติกาไม่เป็นกลาง ถ้าไม่เช่นนั้นอันตราย ไม่ใช่อันตรายเฉพาะช่วงเวลาการแข่งขัน แต่อันตรายระยะยาว และการ restore ระบบด้วย
คนหนึ่งเห็นตัวอย่างว่า ผู้อาวุโสไม่เป็นธรรม คนระบบล่างก็บอกว่างั้นเอาเงินดีกว่า วันนี้กระบวนการยุติธรรมเรามีปัญหา มันกินลึก ไม่ใช่แค่ one mission แล้วจบ วันนี้เราต้องทำยังไงถึงจะเป่านกหวีดแล้วให้มาเริ่มต้นใหม่ ให้มาเอาบ้านเมืองเถอะ ให้แข่งกันด้วยที่เป็นธรรม กติกาที่เป็นธรรม แข่งจบก็จบ ไม่ใช่พอแข่งจบ ยังไม่ออกจากสนามเลย มาถึงห้องแต่งตัว แม๊ชใหม่ยังไม่เริ่ม พวกแพ้ก็ควักปืนออกมาไล่ยิงแล้ว อย่างนี้ไปไม่ได้หรอก
ระบบที่ผ่านมามี defect บ้าง แต่หลังการปฏิวัติ เราไม่มีระบบตรวจสอบแล้ว ก็ใช้ระบบสั่งการโดยไม่มีbalance of powerมีการshiftอำนาจจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่ง เป็นอำนาจเก่าอำนาจใหม่ เลยไม่มีความเป็นธรรมตั้งแต่วันนั้น
แล้วการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะแก้ไขปัญหาได้ไหม
ถ้าแก้รัฐธรรมนูญใหม่ ก็ correct ปัญหาได้ระดับหนึ่ง แต่เราก็ไม่รู้ว่ารัฐธรรมนูญจะออกมาอย่างไร แต่ก็หวังว่าถ้า รัฐธรรมนูญมาจากตัวแทนประชาชนจะคำนึงถึงความเป็นกลางมากขึ้น ถ้ารัฐธรรมนูญมีกติกาที่ดี ต่อไปก็ต้องคิดว่า แล้วคนที่จะมารักษากติกาจะยึดโยงกับประชาชนได้ไหม ถ้าได้ ทุกคนก็จะยอมรับ ถ้าไม่ ยึดโยงแต่กับแกนอำนาจ ก็จะอยู่กับแกนอำนาจไม่อยู่กับประชาชน ถ้ายึดโยงกับประชาชนแล้ววันนี้ทำไม่ดี วันนึงกลับไปหาประชาชน ประชาชนก็ไม่เอา
อย่าไปดูถูกว่าประชาชนโง่ ไม่มีการศึกษา
วันนี้มีหนังสือ the power of crowd ที่บอกว่าพลังการคิดร่วมกันของคนหมู่มาก accurate มากกว่าคนเดียวคิด วันนี้ต้องคิดว่าจะทำยังไงให้อำนาจประชาธิปไตยยึดโยงกับประชาชนในทุกภาคส่วน ซึ่งจะทำให้กติกาทุกอย่างจะดีขึ้นเยอะ ไม่ 100% แต่จะดีขึ้นเยอะผมอยากเห็น รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้อำนาจทุกอำนาจยึดโยงกับประชาชนและมี check andbalance
แต่ก็มีข้อกล่าวหาว่า ปี 2540 ช่วงท่านเป็น นายกฯก็ไปครอบงำองค์กรอิสระ
ปี 40 มีบกพร่องบ้าง ก็ต้องแก้ไขที่จุดบกพร่องแต่รถยางแตกทำไมต้องเปลี่ยนรถทั้งคัน ถามว่าหลังจากผมออกมาแล้วครอบงำไหม ตั้งชัดๆ เลย ว่าจะเอาไปนี่ไปจัดการมึง ว่าเขาต้องแก้สิ ทำให้ดีกว่าเขาสิ ไม่ใช่ว่าเขาแล้วทำแย่กว่าเขา แน่นอน nobody perfect ก็ว่าติติงแก้ไขปรับปรุง แต่ว่าเขาทำ 5 ตัวเองทำ 50 จะทำให้มากกว่า
แล้วมีที่ไหน ไม่มี due process of law คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดเลยถูกลงโทษ บรรดาคนที่นั่งเป็นหัวหลักหัวตอ 9 คน ไม่คิดหรือว่าวันหนึ่งจะไปอยู่ในสังคมยังไง กล้าใช้กฎหมาย retroactive ไม่มี principle อันนี้เลยทำให้เสื่อม ถ้ามี principle เอียงนิดหน่อยก็ไม่น่าเกลียด นี่ principle ไม่มีเลย หัก principle จากซ้ายไปขวาเลยสิ่งเหล่านี้ทำให้แย่ไปทุกอย่าง
ถ้าจะเปลี่ยนขั้วอำนาจต้องเปลี่ยนโดยประชาชนดีที่สุด ไม่ใช่บอกว่าตัวเองไม่ชอบ ทำไมประชาชนชอบอยู่ได้ งั้นตกลงเราไม่ต้องฟังประชาชนใช่ไหม งั้นเปลี่ยนระบบเสียเลยให้ชัดเลย ถ้าเราบอกว่าเราเป็นประชาธิปไตยก็ต้องประชาธิปไตย อย่าหลอกคนทั้งโลก จะเป็นพม่าเป็นอะไรก็ว่าไป แต่ที่พูดนี้ทุกวันนี้ดีขึ้นเรื่อยๆแล้วนะ
ต้องอดทนกันอีกนิด
แล้วเรื่ององค์กรอิสระจะเป็นอย่างไร
องค์กรอิสระ ไม่ใช่แต่งตั้งจากใครก็ไม่รู้มา 8-9 คนแล้วสามารถปลดนายกฯที่ประชาชนเลือกมา 10 กว่าล้านคนได้ง่ายๆ บางทีเป็นเรื่องบริหารธรรมดาก็ต้องกรรมการสอบ มีมูลชี้มูล ผมว่ามันเป็นปาหี่ มันไม่ใช่กติกา ต้องดูว่าคนเหล่านี้เป็นใครยึดโยงกับประชาชนไหม ต้องถูกตรวจสอบถ่วงดุลด้วยไหม เหมือน ปปช. ตรวจคนอื่นหมด แต่ตัวเองถูกตรวจไม่ได้ ปปช. ก็ต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินด้วย ต้องเอาให้ชัด ต้องให้โปร่งใส ไม่ใช่บางองค์กรมีอำนาจล้นฟ้า แต่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย
องค์กรอิสระเหล่านี้ควรมีอยู่ต่อไป
องค์กรพวกนี้ควรมีอยู่ แต่ต้องปรับปรุงเรื่องการตรวจสอบถ่วงดุล เรื่องการยึดโยงอำนาจอยู่กับประชาชน เช่นมาจากประชาชนโดยตรง หรือการคัดสรรจากหน่วยงานใดที่ยึดโยงกับอำนาจประชาชน
เรื่องยึดโยงประชาชนนี่ เถียงกันมาก อย่างตั้งประธานศาลฎีกานี่ต่อไปต้องมาขอการรับรองจากสภาไหม
ผมขออนุญาตไม่พูดอะไรเป็นการชี้นำ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้เป็นการแก้ทั้งฉบับไม่มีการแก้ไขหมวดพระมหากษัตริย์ หมวดอื่น สสร.ไปยกร่างมา รับบาลพูดชัดว่าจะไม่แตะหมวดนี้
หมายถึงจะยกเอามาใส่ไว้ทั้งหมด
หมวด 2 อยู่อย่างเดิม ที่เหลือแก้ไขอะไรก็แก้ไปเลย ตาม สสร.ว่า
แต่ศาลยุติธรรมทำงานในนามพระปรมาภิไธย
หลักเกณฑ์พวกนี้อย่างนี้ครับ อาจมีการเสนอผ่านสภาก็ได้ ผมไม่ชี้นำนะ อย่างไรก็ได้ แต่สภานี้คือ สภา เหมือนต่างประเทศ endorse จากสภา มีกระบวนการของเขาแล้วมาขอรับรอง ไม่รู้นะ อันนี้ผมชี้นำไม่ได้ แล้วแต่ตกลงกันเอง เพียงแต่ต่างประเทศเป็นแบบนี้
ไม่แก้หมวดพระมหากษัตริย์ก็ลดความร้อนแรงลงไปครึ่ง
แน่นอน
แต่คนอาจจะวิจารณ์เรื่องกระบวนการได้ เลือกตั้งตรงอาจจะครอบงำจากพรรคการเมือง 22 คนก็ไม่ได้เป็นตัวแทนจากวิชาชีพต่างๆที่มากพอ
กรรมาธิการมี 45 คน พรรคเพื่อไทยมี 19 ก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถครอบงำได้ กรรมาธิการไปคิดกันเองแต่ละพรรคก็มีจุดยืนไปแล้วไปถกเถียงกัน บางครั้งเราอย่าไปวิตกกังวลมากเกิน ต้องหัดเชื่อใจคนอื่นบ้าง เมื่อมีทุกฝ่ายแล้วก็ถกเถียงกัน แต่เอาอย่างนี้ดีกว่า ออกมายะงไงก็ดีกว่า 50 มันมีพัฒนาการของมัน อะไรไม่เสียก็อย่าซ่อม แต่มักชอบไปซ่อมของไม่เสีย
ถ้าจะมีการแก้ไขอะไรอย่าหักดิบ หักดิบไม่ดี หักน้ำใจกัน
ฝ่ายค้านโจมตีว่าแก้ รัฐธรรมนูญเพื่อนำทักษิณกลับบ้าน
ผมมีวิธีกลับบ้านโดยไม่ต้องมาแก้รัฐธรรมนูญเพื่อผมคนเดียว คนไม่ผิดกลัวอะไร วันนี้พรรค พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยก้าวข้ามพ้นผม ไม่รู้เป็นไรกลัวและแค้น มี 2 อย่าง ความจริงถ้าไม่กลัวผมจริงๆ อาจไม่แพ้ นี่กลัวผม ทำให้เกิด โลภ โกรธ หลง พุทธศาสนาบอกว่าทำให้โง่
ผมเฉยๆไม่กลับก็ไม่เป็นไร
ไม่กลับบ้านก็ไม่เป็นไร
วันนี้ผมบอกได้เลยผมเฉยๆแล้ว อยู่เมืองนอกผมก็สบาย แข็งแรงสดชื่นดี ไปไหนก็มีเครื่องบินส่วนตัว ไม่เดือดร้อน ไม่ให้ผมกลับก็ไม่เป็นไร เพียงแต่ว่าผมห่วงประเทศไปไหนก็คิดถึงประเทศ ว่าจะทำอย่างไรให้บ้านเมืองเจริญ เมื่อพวกเราเป็นรัฐบาลผมก็ส่งผ่านความคิดดีๆให้เขาได้ แค่นั้นเอง กลับก็ได้ ไม่กลับก็ได้ ในส่วนตัว ถ้าเห็นว่าผมเป็นประโยชน์ผมก็พร้อมไปทำงานให้บ้านเมืองในฐานะอะไรก็ได้ ประชาชนธรรมดาก็ได้ แต่ถ้าเห็นว่าไม่เป็นประโยชน์ ไม่เอาผมกลับก็ไม่เป็นไร ผมมีบ้านอยู่หลายประเทศ ทุกวันนี้ผมก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร
แล้วความสัมพันธ์กับทหาร เรื่องเปลี่ยนกฎหมายกลาโหมจะเป็นอย่างไร
จริงแล้วไม่มีอะไร ความจริงกติกาเขียนยังไงก็ได้ มันอยู่ที่คุยกัน ถ้าคุยกันรู้เรื่องก็ไม่มีอะไร
ไม่จำเป็นต้องแก้ไขพ.ร.บ.ระเบียบบริหารกระทรวงกลาโหม
กฎหมายเดิมก็ดีอยู่แล้ว ถ้าคุยกันรู้เรื่องก็ไม่มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนอะไร คุยกันแบบพี่ๆ น้องๆ ก็ไม่มีปัญหา แล้วทหารก็เป็นคนที่คุยรู้เรื่อง คือทหารต้องการอยู่ 2 อย่าง คือ 1 อย่าแตะต้องสถาบันพระมหากษัตริย์ อย่างที่ 2 อย่ารังแกเขา แค่นั้น ไม่มีอะไร ถ้าจะมีการแก้ไขอะไรต้องมีการพูดคุยกัน ไม่ใช่ไปหักดิบ
แม้ไม่แก้รัฐธรรมนูญหมวดพระมหากษัตริย์mแล้วเรื่องแก้มาตรา 112 จะเป็นอย่างไร
อยู่มา 50 กว่าปีไม่มีปัญหาเลย มามีปัญหาหลังการปฏิวัติ เพราะมีคนเอาไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการเมือง ถ้าจะบอกว่าจงรักภักดี ไม่ใช่ พระเจ้าอยู่หัวเคยรับสั่งกับผมตอนเป็นนายกฯ แล้วผมจะใช้มาตรา 112 เพราะมีคนพูดจาไม่ดีกับสถาบัน ยังทรงรับสั่งว่าอย่าไปยุ่งกับเขาเลย ไม่ทรงเห็นเรื่องเล็กน้อยนี้เป็นเรื่องใหญ่โตเลย แต่มีคนเอามาใช้แล้วสร้างกระแสว่า จงรักภักดีต้องใช้มาตรานี้มากๆ จน excessive ใช้มากเกินไปและใช้ไม่เหมาะสม จึงเกิดคำถามว่ามาตรา 112 มีปัญหาหรือเปล่า จริงๆ มาตรานี้ไม่มีปัญหาแต่เป็นปัญหาที่วิธีการใช้ วิธีการปฏิบัติ การนำไปใช้ แต่ก่อนจะมีคณะกรรมการที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาว่า จะใช้มาตรานี้ในคดีใดหรือไม่ แต่ตอนหลังใช้พร่ำเพรื่อแต่จริงๆกฎหมายไม่ได้เป็นปัญหาเลย
นิติราษฎร์ก็โยงถึงเพื่อไทย
สังคมไทยมันก็โยงกันหมดแหละ ทั้งที่ความจริงไม่เกี่ยวเลย ถ้าทุกคนมี professionalism คือหมายความว่าเข้าใจหลักจริยธรรมของตัวเองมันก็ไม่มีอะไร แต่เดี๋ยวนี้มันมีการกล่าวหากันไปหมด กล่าวหากัน สามารถกล่าวหาอะไรก็ได้ เรื่องโกหกก็ได้แล้วก็ไม่ต้องรับโทษ รับผิดชอบอะไร ทำให้การกล่าวหาพวกนี้ได้โมเมนตัมมาเรื่อย โดยเฉพาะสื่อ คนพูดลบ พาดหัวเลย พูดสร้างสรรค์ไม่ลง ทำให้คนอยากดังพูดโกหก กล่าวหากันอย่างไม่อาย
ไม่มีอะไรเป็นเรื่องวิธีคิดที่ต่างกันมากกว่า ของนิติราษฎร์ เขาเห็นว่า ถ้าไม่แก้มันจะเสียหายมากกว่า คือแก้ไขในที่นี้คือแก้เรื่องใครเป็นผู้ฟ้องมากกว่า อาจกำหนดให้แคบลง มีคนหนึ่งเป็นหม่อมราชวงศ์ ยังโทรบอกกับรัฐบาลว่าอยากให้แก้ 112 ในแง่จำกัดคนที่จะฟ้องได้ ไม่ใช่ทั่วไปซึ่งก็เป็นความปรารถนาดี แต่ก็ต้องดูว่ามันควรต้องแก้ไหม ที่ผ่านมาไม่ต้องแก้เลย อยากมากก็มาดูเรื่องวิธีการปฏิบัติมากกว่า ผมยืนยันว่าไม่ใช่ตัวเนื้อกฎหมายมีปัญหา แต่มีปัญหาเรื่องคนเอาเรื่องนี้มาใช้ประโยชน์ทางการเมือง
คิดว่าไม่ควรแตะเรื่องนี้
ไม่ควรแตะเลย
*